Category Archives: บทความที่เกี่ยวข้อง

ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร สัญญาณภาวะ “ตับอักเสบ”

‘ตับ’ เป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย… เอาแค่เรื่องนี้ก็อาจนับเป็นความรู้ใหม่แล้วสำหรับหลายๆ คนนะคะ นอกจากตับจะมีขนาดใหญ่ที่สุดแล้ว หน้าที่ของตับในการกรองของเสียและกำจัดสารพิษที่ตกค้างในร่างกายนั้นก็มีความยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน ดังนั้นการใส่ใจดูแลสุขภาพน้องตับของเราแท้จริงแล้วจึงมีความสำคัญ ไม่เช่นนั้นอาจนำมาซึ่งภาวะโรคตับอักเสบได้ค่ะ โรคตับอักเสบ เป็นภาวะที่เซลล์ตับเกิดการอักเสบ ทำให้ตับเกิดความเสียหายจนก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยต่างๆ ตามมา โดยหากเราปล่อยให้ตับอักเสบอย่างเรื้อรัง ความอักเสบนี้จะส่งผลกระทบทำให้การทำงานของตับผิดเพี้ยน ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคร้ายอย่างโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับได้ โรคตับอักเสบนั้นเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ และความน่ากลัวอยู่ที่ทุกคนนั้นสามารถที่จะเป็นโรคนี้ได้ค่ะ โรคตับอักเสบที่พบมากที่สุดคือ :  โรคตับอักเสบที่มีสาเหตุมาจากการดื่มแอลกอฮอล์ และพฤติกรรมการทานอาหารที่มีไขมันสูง โรคไวรัสตับอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซึ่งสายพันธุ์ที่พบบ่อยได้แก่ ไวรัสตับอักเสบ A, B, และ C ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคตับอักเสบส่วนใหญ่ได้แก่  พฤติกรรมการทานอาหารที่เป็นพิษต่อตับ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเป็นประจำ หรืออาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง  การได้รับสารเคมีหรือใช้ยาบางชนิดเป็นเวลานาน  การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อโดยไม่ป้องกัน การใช้สิ่งของร่วมกันกับผู้อื่น เช่น มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ อาการของผู้ป่วยโรคตับอักเสบโดยรวมมีลักษณะคล้ายกันคือ  มีอาการปวดเมื่อยตามตัว รู้สึกอ่อนเพลีย  เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน  ปวดท้องหรือเจ็บใต้ชายโครงด้านขวา  ปัสสาวะเป็นสีเข้ม ตัวและดวงตามีสีเหลืองหรือภาวะดีซ่าน ถ้าเราอยากป้องกันและดูแลน้องตับให้เค้าแข็งแรงและอยู่กับเราไปได้นานๆ โดยเบื้องต้นต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นปัจจัยก่อให้เกิดโรค เช่น อาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ควรออกกำลังกายอย่างเป็นประจำ, มีการรักษาสุขอนามัยขั้นพื้นฐานอยู่เสมอ […]

คุณแน่ใจหรือ? ที่จะปล่อยให้ยูริกสูงต่อไป 

 โรคเกาต์โรคความดันโลหิตสูงโรคหลอดเลือดหัวใจนิ่วในทางเดินปัสสาวะไตวายเรื้อรัง โรคเหล่านี้เป็นผลพวงที่เกิดจากยูริกสูง  ดังนั้นจึงควรคุมอาหารที่ทําให้ยูริกสูง เช่น แอลกอฮอล์เพราะแอลกอฮอล์ทําให้ยูริกสูงมากที่สุด เลี่ยงน้ําตาลฟรุกโตสหรือน้ําตาลจากผลไม้ ยิ่งเครื่องดื่มทุกชนิดที่ใส่น้ำเชื่อมจะมีความหวานเป็นน้ําตาลฟรุกโตส เช่น น้ําอัดลม ชานม กาแฟใส่นม สิ่งเหล่านี้ทําให้ยูริกสูงได้ ควรลดน้ำหนักตัว ดื่มน้ำให้มากขึ้นก็จะช่วยขับกรดยูริกออกได้ดี เสริมตัวช่วยที่จะขับกรดยูริกออกจากร่างกายได้ดีขึ้น คือ โซดามินท์ เพราะโซดามินท์ทำให้ร่างกายเป็นด่าง เนื่องจากยูริกเป็นกรดละลายได้ดีในปัสสาวะที่เป็นด่าง ถ้าเกิดปัสสาวะเป็นด่างมากขึ้นการขับกรดยูริกก็จะทำได้ดีขึ้น เสริม Z-min ที่มีส่วนผสมของโซดามินท์ ทำให้ร่างกายเป็นด่างมากขึ้น ช่วยขับกรดยูริกออกจากร่างกาย แล้วยังมี Citric acid จะช่วยจับกรดในกระเพาะ ช่วยป้องกันกรดไหลย้อน และยังมีกรดอะมิโน Cysteine ที่ช่วยสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยขจัดสารพิษของตับและช่วยให้ไตทำงานดีขึ้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายLine : https://line.me/R/ti/p/%40214byvpdWebsite : https://healthfocusclinic.co.th/Tel : 02-096-4945Location : The Grove Hathairaj (เดอะ โกรพ หทัยราษฏร์)_________________________________________________ทำความรู้จักกับหมออรรถ (อย่าฝากชีวิตไว้กับหมอ)https://hfocusclinic.com/หมออรรถ-อย่าฝากชีวิตไว้/ทำไมต้องมาตรวจสุขภาพที่ Health Focus Clinichttps://hfocusclinic.com/ทำไมต้องเรา/#healthfocusclinic #โซดามินท์ #Citricacid #Cysteine #กรดไหลย้อน #สารต้านอนุมูลอิสระ

อย่าปล่อยให้ฮอร์โมนไม่สมดุล!! “5 วิธีปรับสมดุลฮอร์โมนที่ไม่ควรพลาด”

ความไม่สมดุลของฮอร์โมนส่งผลกระทบต่อผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก ในรูปแบบของความผิดปกติทั่วไป เช่น เบาหวาน ไทรอยด์ผิดปกติ ประจำเดือนมาไม่ปกติ ภาวะมีบุตรยาก ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนต่ำ และฮอร์โมนเอสโตรเจนครอบงำ เมื่อฮอร์โมนไม่สมดุลมักจะมีอาการรู้สึกกระวนกระวาย เหนื่อย หงุดหงิดง่าย น้ำหนักขึ้นหรือลด นอนหลับไม่สนิท และสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในความต้องการทางเพศ การมีสมาธิจดจ่อ และความอยากอาหาร ซึ่งสาเหตุของความไม่สมดุลของฮอร์โมนนั้นเกิดจากสุขภาพลำไส้ไม่ดี การอักเสบ ความเครียดสูง ความอ่อนแอทางพันธุกรรม น้ำหนักเกิน และความเป็นพิษในร่างกาย หากคุณมีอาการเหล่านี้ เรามีวิธีปรับสมดุลฮอร์โมนที่อาจเป็นตัวช่วยที่ช่วยให้คุณหายจากอาการเหล่านี้ได้ 1. เปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตเป็นไขมันเพื่อสุขภาพ ร่างกายต้องการไขมันหลายชนิดเพื่อใช้ในสร้างฮอร์โมน ซึ่งไขมันจำเป็นเหล่านี้ ยังช่วยรักษาระดับการอักเสบให้ต่ำ เพิ่มการเผาผลาญ และช่วยในการลดน้ำหนัก ซึ่งไขมันดีมีผลตรงกันข้ามกับคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสี เพราะคาร์โบไฮเดรตเป็นตัวนำไปสู่การอักเสบ และอาจส่งผลต่อความสมดุลของฮอร์โมนได้ อาหารที่มีไขมันที่ดีต่อสุขภาพ เช่น น้ำมันมะพร้าว อะโวคาโด และปลาแซลมอน ควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกน้ำตาล คาร์โบไฮเดรตแปรรูป และน้ำมันพืช เพราะนั่นอาจเป็นสาเหตุของความไม่สมดุลของฮอร์โมน 2. อาหารเสริมเพื่อเติมเต็มช่องว่างทางโภชนาการ แม้ว่าการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพเป็นกุญแจสำคัญสำหรับสุขภาพทุกด้าน แต่บางครั้งก็จำเป็นต้องเสริมเพื่อเติมเต็มช่องว่างทางโภชนาการที่อาจนำไปสู่ความไม่สมดุลของฮอร์โมนอาหารเสริมอันดับต้น ๆ ที่ควรเน้นเพื่อปรับสมดุลของฮอร์โมน Vitamin D : เป็นวิตามินที่ดีที่สุดสำหรับความไม่สมดุลของฮอร์โมน เนื่องจากมันเกือบจะทำหน้าที่เหมือนฮอร์โมนภายในร่างกาย […]

รู้ไหม? โรคอะไรที่ผู้หญิงเสี่ยงเป็นมากกว่าผู้ชาย 🌸

การดูแลสุขภาพของผู้หญิงเป็นเรื่องสำคัญมาก เนื่องจากมีหลายโรคที่พบว่าเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันและฮอร์โมน มาดูกันว่าโรคอะไรบ้างที่ผู้หญิงต้องระวังเป็นพิเศษ และวิธีการดูแลตัวเองเพื่อป้องกันการเกิดโรคเหล่านี้กันค่ะ 1. โรคปลอกประสาทอักเสบ (Multiple Sclerosis – MS) โรคนี้เกี่ยวข้องกับระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง อัมพฤกษ์ อัมพาต และสูญเสียการมองเห็น ผู้หญิงมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ชายถึงสองในสามของผู้ป่วยทั้งหมด แม้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่สามารถรักษาตามอาการได้ค่ะ 2. โรคลูปัส (Systemic Lupus Erythematosus – SLE) โรคลูปัสเป็นโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ ทำให้เกิดการอักเสบในข้อต่อและอวัยวะต่าง ๆ ผู้หญิงมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ชายถึง 9-10 เท่า อาการที่พบได้บ่อยคือ ความเหนื่อยล้า ข้อต่อบวม อักเสบ มือเท้าบวมแดง แพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่คาดว่าอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ ฮอร์โมนเพศหญิง สิ่งแวดล้อม การตั้งครรภ์ รังสียูวี หรือสารเคมีบางชนิด 3. โรคอ่อนเพลียเรื้อรัง (Chronic Fatigue Syndrome) เพศหญิงมีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าเพศชายถึงสี่เท่า โดยอาการของโรคคือ ความอ่อนเพลียอย่างรุนแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ นอนไม่ค่อยหลับ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ระบบขับถ่ายแปรปรวน […]

เช็ก 8 สัญญาณเสี่ยงมะเร็ง อันตรายอยู่ใกล้ตัวคุณหรือไม่ ❓

ในยุคปัจจุบันนี้ สภาพแวดล้อมรอบตัวเรามักพบกับความเสี่ยงที่สามารถนำเราให้เข้าใกล้โรคต่างๆ ได้มากมาย โดยเฉพาะโรคมะเร็ง ไม่ว่าจะเป็นสารพิษในอาหาร มลภาวะในอากาศ ฝุ่น pm 2.5 ควันบุหรี่มือสอง เพื่อความปลอดภัยมาลองเช็กดูกันค่ะว่า คุณหรือคนใกล้ตัวมี 8 สัญญาณโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นอันตรายใกล้ตัวที่มองไม่เห็นอยู่หรือไม่ มีการเปลี่ยนแปลงของระบบขับถ่ายอุจจาระ และปัสสาวะ เช่น ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ หรือปัสสาวะมีสีเลือด กลืนอาหารลำบาก หรืออาหารติดอยู่ที่ช่องกลางอก หรืออาหารไม่ย่อย แน่น จุดเสียดท้องเป็นเวลานาน มีอาการเสียงแหบไอเรื้อรังผิดปกติ มีเสมหะปนเลือด มีเลือดหรือตกขาวที่ผิดปกติ มูกเลือด น้ำเหลืองปนเลือดออกทางช่องคลอดหรือทวารหนัก เป็นแผลเรื้อรังหายช้ามากกว่า 1 เดือน มีการเปลี่ยนแปลงของหูดหรือไฝตามร่างกายที่โตเร็วผิดปกติ มีก้อนที่เต้านมหรือส่วนต่างๆ หูอื้อหรือมีเลือดกำเดาไหล  หากมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งตามสัญญาณอันตรายดังกล่าว ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจค้นหาโรคมะเร็ง เพราะมะเร็งหลายชนิดหากตรวจพบแต่เนิ่นๆ ก็จะมีโอกาสที่จะรักษาให้หายขาดได้ค่ะ สำหรับคนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีมลภาวะมากๆ ก็ควรปฏิบัติตนเพื่อลดความเสี่ยงมะเร็ง ดังเช่น กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผักผลไม้และธัญพืช ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เลี่ยงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์สูง เลี่ยงอาหารที่มีเชื้อรา เช่น พริกแห้งที่มีราขึ้น เลี่ยงการทานอาหารที่สุกๆ ดิบๆ เลี่ยงอาหารรมควัน […]

3 ระดับอาการ “สมองเสื่อม” ที่คุณควรรู้จัก 🙋🏾‍♀️

“สมองเสื่อม” เป็นภาวะที่ส่งผลต่อความจำ การคิดวิเคราะห์ และความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน การรู้จักและเข้าใจถึงอาการของ “สมองเสื่อม” จึงถือเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรทราบ เพื่อสามารถดูแลและให้การสนับสนุนผู้ที่เผชิญกับสภาวะนี้ได้อย่างเหมาะสม โดยเราสามารถแบ่งระดับของอาการสมองเสื่อมออกได้เป็น 3 ระดับหลักๆ ดังนี้ 1. สมองเสื่อมระดับเล็กน้อย ในระดับนี้ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการหลงลืมเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน แม้จะยังจำเหตุการณ์ในอดีตได้ชัดเจน พวกเขาอาจเริ่มพบปัญหาในการจดจ่อกับสิ่งต่างๆ และเริ่มมีความบกพร่องในการดำเนินชีวิตประจำวัน แต่ยังสามารถช่วยเหลือตนเองและทำกิจกรรมต่างๆ ได้อยู่ 2. สมองเสื่อมระดับปานกลาง อาการในระดับนี้จะเริ่มรุนแรงขึ้น เมื่อความจำเสื่อมลงอย่างมาก ผู้ป่วยจะเริ่มมีปัญหาในการเข้าใจ การเรียนรู้ และการแก้ปัญหา ซึ่งอาจเคยเป็นกิจกรรมที่ทำได้ดีในอดีต ผู้ที่อยู่ในระดับนี้จึงต้องการการดูแลให้มากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายจากการอยู่ตามลำพัง 3. สมองเสื่อมระดับรุนแรง ในระดับสุดท้ายนี้ ผู้ป่วยจะสูญเสียความทรงจำอย่างรุนแรง จนไม่สามารถจดจำเหตุการณ์ใดๆ หรือแม้แต่บุคคลรอบข้างได้ อาจรวมไปถึงการไม่รู้จักตัวเอง พวกเขาอาจมีอาการผิดปกติทางร่างกายและจิตใจ เช่น บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง การเคลื่อนไหวที่เชื่องช้า การดูแลในระดับนี้ต้องการความรอบคอบและใกล้ชิดอย่างมาก เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วย การรู้เท่าทันอาการของสมองเสื่อมในแต่ละระดับ จะช่วยให้เราสามารถจัดการและเตรียมความพร้อมในการดูแลคนที่เรารักได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ การสนับสนุนจากแพทย์และผู้เชี่ยวชาญก็เป็นสิ่งจำเป็นในการช่วยเหลือผู้ป่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดนะคะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายLine : https://line.me/R/ti/p/%40214byvpdWebsite : https://healthfocusclinic.co.th/Tel : 02-096-4945Location : […]

รับมืออย่างไร? เมื่อพ่อแม่เข้าสู่ “วัยทอง” 👩‍🦳👨‍🦳

การดูแลพ่อแม่ที่อยู่ในช่วงวัยทองถือเป็นภารกิจที่ท้าทายอย่างมากสำหรับลูก ๆ เป็นช่วงที่พ่อแม่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งอาจทำให้พวกท่านมีอารมณ์แปรปรวน หรือรู้สึกเครียดบ่อยขึ้น ในฐานะลูกจะรับมืออย่างไรกับอาการเหล่านี้ วันนี้เรามีมาฝากกันค่ะ 1. เข้าใจและรับฟัง ลองทำความเข้าใจว่าสิ่งที่พวกท่านเผชิญอยู่อาจไม่ง่าย เช่น อาการเจ็บป่วยเล็กน้อย ความรู้สึกหงุดหงิด หรือความกังวลใจที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในร่างกายและจิตใจ ใช้เวลาในการรับฟังและให้ความสนใจกับสิ่งที่พวกท่านพูด การรับฟังอย่างตั้งใจจะช่วยลดความขัดแย้งและทำให้พวกท่านรู้สึกว่าเราห่วงใย 2. อย่าตอบโต้ด้วยอารมณ์ เมื่อพ่อแม่อารมณ์เสียหรือแสดงอาการหงุดหงิด อย่าโต้เถียงด้วยอารมณ์ ควรอดทนและรอให้พวกท่านใจเย็นก่อน แล้วค่อยกลับมาพูดคุยอย่างมีเหตุผล และควบคุมอารมณ์ของตนเอง พยายามทำให้บรรยากาศรอบตัวสงบลง 3. สร้างบรรยากาศเชิงบวก ชวนพ่อแม่ทำกิจกรรมที่สร้างความสุข เช่น การเดินเล่น อ่านหนังสือ พาไปพบปะผู้คน หรือกิจกรรมที่พวกท่านสนใจ ซึ่งอาจช่วยให้พวกท่านผ่อนคลายและอารมณ์ดีขึ้น 4. ดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจของพวกท่าน ส่งเสริมให้พวกท่านดูแลสุขภาพ เช่น ออกกำลังกายเบา ๆ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และพักผ่อนเพียงพอ สุขภาพที่ดีจะช่วยลดอาการทางอารมณ์และความเครียด หากมีอาการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิต เช่น ซึมเศร้าหรือวิตกกังวล ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำ แนะนำให้พาท่านไปตรวจฮอร์โมนเพื่อประเมินระดับฮอร์โมนในร่างกาย การปรับสมดุลฮอร์โมนเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยจัดการกับอาการของวัยทองได้ดีขึ้น 5. พูดคุยอย่างอ่อนโยน ลองพูดคุยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและแสดงความเคารพ แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยในบางเรื่อง แต่การใช้คำพูดที่ให้เกียรติจะช่วยให้การสื่อสารราบรื่นและลดความตึงเครียดลงได้ 6. หากิจกรรมผ่อนคลายสำหรับตนเอง […]

ผอมใครว่าไม่เสี่ยงป่วย ❓ สารพัดโรคร้าย ที่คนผอมก็เสี่ยงเป็นได้ ‼️

หลายคนคงทราบกันดีว่า “ความอ้วน” นั้นเป็นปัจจัยให้ก่อเกิดโรคร้ายแรงต่างๆ แต่จริงๆ แล้ว คนที่ผอมเกินไปหรือมีน้ำหนักน้อยเกินเกณฑ์ เมื่อไปตรวจสุขภาพก็อาจพบว่าตนเองมีค่าไขมันในเลือดหรือความดันโลหิตสูงได้เช่นกัน โดยโรคที่คนผอมมักเสี่ยงเป็นโดยไม่รู้ตัวมีดังต่อไปนี้ค่ะ ไขมันในเลือดสูง แม้ว่าโรคไขมันในเลือดสูงจะพบบ่อยในคนที่มีน้ำหนักเกิน แต่คนผอมก็มีปัจจัยเสี่ยงเช่นกันค่ะ เพราะไขมันในร่างกายนั้นประกอบด้วยไขมันในหลอดเลือด ไขมันใต้ชั้นผิวหนัง และไขมันในช่องท้อง คนผอมที่กินอย่างไรก็ไม่อ้วนเนื่องด้วยปัจจัยทางพันธุกรรม แต่จริงๆ แล้วร่างกายยังสามารถสะสมไขมันไว้ในกระแสเลือดได้ ซึ่งหากปล่อยไว้ก็อาจเสี่ยงภาวะหลอดเลือดแข็ง ตีบ และอุดตัน เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมอง รวมถึงโรคแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาตได้ค่ะ ความดันโลหิตสูง หลายคนอาจยังเข้าใจผิดว่าความดันโลหิตสูงนั้นเกี่ยวข้องกับน้ำหนักตัวเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วคนอ้วนหรือผอมก็สามารถตรวจพบว่าเป็นความดันโลหิตสูงได้ค่ะ โดยปัจจัยเสี่ยงนั้นอาจมาจากอายุ (40-50 ปีขึ้นไป) เพศหญิงในวัยหมดประจำเดือน ความเครียดและวิตกกังวล หรือมาจากพันธุกรรมได้ถึง 30-40% ในระยะแรกมักไม่มีอาการผิดปกติ แต่พบโดยการตรวจสุขภาพประจำปี หรือมีโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาภายหลัง โรคไทรอยด์ ผู้ที่มีน้ำหนักตัวน้อยอาจเกิดจากภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากกว่าปกติ (Hyperthyroid) หรือเรียกว่าภาวะไทรอยด์เป็นพิษ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติ เนื่องจากต่อมไทรอยด์มีหน้าที่ผลิตและหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมการเผาผลาญสารอาหารในร่างกาย ระดับอุณหภูมิของร่างกาย และระดับไขมันในเลือด โดยผู้ป่วยจะมีอาการใจสั่น มือสั่น เหนื่อยง่าย น้ำหนักลด หากไม่รับการรักษาอย่างถูกต้องก็อาจเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคทางกระดูกได้ค่ะ โรคกระดูกพรุน […]

ผิวพรรณผ่องใส แก่ช้าลงได้ ด้วย ‘โปรไบโอติก’

คนเราหากได้ทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ และมีระบบลำไส้ที่แข็งแรง ขับถ่ายได้สะดวก ไม่มีปัญหาท้องผูก ท้องเสีย ท้องเดิน หรือท้องอืด ก็มักจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและผิวพรรณที่ผ่องใสตามไปด้วยค่ะ ดังนั้น สิ่งที่กินแล้วดีต่อลำไส้ก็จะส่งผลดีกับสุขภาพร่างกายและผิวพรรณไปด้วยเช่นกัน ซึ่งสิ่งนั้นก็คือ “โปรไบโอติก” นั่นเองค่ะ “โปรไบโอติก” คือจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายและมีความสำคัญอย่างมากในระบบนิเวศของลำไส้ เพราะหากร่างกายของเราขาดจุลินทรีย์ที่ดีเหล่านี้ ก็จะเสี่ยงต่อการอักเสบเรื้อรังในทางเดินอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของความเสื่อมถอยในร่างกายและทำให้คนเราแก่ชราลงได้อย่างมาก นอกจากนี้ยังพบว่า ยาที่ใช้รักษาโรคหลายชนิด เช่น สเตียรอยด์ NSAID ยาปฏิชีวนะ การทานอาหารที่มีสารเคมีปนเปื้อน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ รวมไปถึงความเครียดในชีวิตประจำวัน ก็ล้วนทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังในลำไส้ บางคนอาจไม่แสดงอาการรุนแรงชัดเจนแต่ก็ทำให้เกิดการเร่งความเสื่อมของร่างกายอย่างต่อเนื่องได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม มีการวิจัยพบว่า การทานโปรไบโอติกเสริมอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ร่างกายสามารถต่อต้านการอักเสบเรื้อรังในลำไส้ได้ ส่งผลให้สุขภาพแข็งแรงขึ้นและช่วยชะลอวัยได้ โดยโปรไบโอติกนั้นจะพบมากในผลิตภัณฑ์อาหารหมัก เช่น นมเปรี้ยว แหนม กิมจิ ซึ่งเป็นสารอาหารธรรมชาติ จึงไม่มีผลข้างเคียงหรือเกิดผลเสียต่อร่างกาย การทานโปรไบโอติกส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพลำไส้ โดยในผู้ที่มีอาการท้องผูก ท้องเสีย ท้องเดิน หรือท้องอืด ก็จะมีอาการที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว มีฤทธิ์ในการเสริมภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ช่วยแก้อาการอ่อนเพลียเรื้อรัง ทำให้อาการโรคภูมิแพ้ต่างๆ ดีขึ้น ลดการอักเสบที่ทำลายผิว จึงส่งผลให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง […]

5 ความเชื่อผิดๆ ที่อาจทำให้หลับยากกว่าเดิม

ในบางครั้งเมื่อเกิดอาการนอนไม่หลับขึ้นมา หลายๆ คนคงหาสารพัดวิธีที่จะช่วยให้นอนหลับได้เร็วขึ้น เช่น นอนนับแกะ ดื่มแอลกอฮอล์ ฝืนนอนให้หลับ ออกกำลังกายก่อนนอน หรือทานอาหารจนอิ่มท้อง แต่จริงๆ แล้ววิธีเหล่านี้อาจทำให้นอนหลับยากกว่าเดิม หรือทำให้การนอนหลับไม่มีคุณภาพ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกายได้อีกด้วยค่ะ 1. ดื่มแอลกอฮอล์ให้กรึ่มๆ แล้วจะหลับดีขึ้น หลายคนคงทราบกันดีว่าแอลกอฮอล์นั้นมีฤทธิ์กล่อมประสาท จึงดื่มเพื่อให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น แต่จริงๆ แล้วมันอาจทำให้ประสิทธิภาพการนอนแย่ลงได้ค่ะ เนื่องจากแอลกอฮอล์นั้น จะเข้าไปรบกวนระบบประสาทอัตโนมัติในร่างกาย ส่งผลให้เกิดอาการนอนหลับไม่สนิท หลับๆ ตื่นๆ ตื่นกลางดึก ฝันร้าย และกระสับกระส่ายไปตลอดทั้งคืน นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ยังส่งผลให้ช่วงเวลาหลับลึก (REM sleep) ของเราลดลง ซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของสมองในการเรียนรู้และความทรงจำในระยะยาวได้ค่ะ 2. นอนนับแกะไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหลับ เป็นวิธีที่หลายคนอาจเคยได้ยินกันบ่อยๆ ในสื่อบันเทิงต่างๆ แต่จริงๆ แล้วในทางการแพทย์ การนับแกะนั้นไม่ได้ช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้นแต่อย่างใดค่ะ แต่กลับส่งผลตรงข้ามด้วยซ้ำ คือทำให้หลับได้ยากขึ้นไปอีก เพราะการนับแกะทำให้เราจดจ่ออยู่กับการนับ ซึ่งทำให้สมองต้องทำงานและสั่งการอย่างต่อเนื่องไม่ได้หยุดพัก เทียบเท่าได้กับการมีเรื่องคิดวนเวียนอยู่ในหัวจนทำให้หลับได้ยากขึ้นนั่นเองค่ะ 3. ข่มตานอนไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็หลับไปเอง หากใครที่เกิดอาการนอนไม่หลับ หรือตื่นกลางดึกแล้วหลับต่อไม่ได้เกินกว่า 30 นาทีขึ้นไป […]