Category Archives: บทความที่เกี่ยวข้อง

5 อาหารบำรุงไต ดีต่อไต ห่างไกลโรค 

การบำรุงไตด้วยอาหารที่เหมาะสมเป็นหนึ่งในวิธีดูแลสุขภาพไตให้แข็งแรงและห่างไกลจากโรคต่างๆ อาหารที่ดีต่อไตควรมีโซเดียม คอเลสเตอรอล และไขมันในปริมาณต่ำ โดยหลักๆ จะเป็นอาหารเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ ผัก และผลไม้สด ต่อไปนี้คือ 5 ตัวอย่างอาหารที่บำรุงไตและควรรวมอยู่ในเมนูประจำวันของคุณค่ะ 1. ปลาทะเล ปลาทะเลเป็นแหล่งโอเมก้า 3 ที่ดีมากค่ะ ไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ แต่ยังมีประโยชน์ต่อไตด้วยการลดการอักเสบและปกป้องหลอดเลือดในไต ปลาทะเลที่แนะนำ เช่น ปลาแซลมอน มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง ที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคไตเรื้อรังได้ 2. อกไก่ไร้หนัง อกไก่ไร้หนังเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี มีไขมันและโซเดียมต่ำ ช่วยในการควบคุมความดันโลหิตซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันโรคไต นอกจากนี้ยังมีฟอสฟอรัสในปริมาณต่ำ ทำให้เหมาะสมกับผู้ที่มีภาวะไตทำงานลดลง 3. ผักตระกูลกะหล่ำ ผักกลุ่มนี้มีวิตามินซี วิตามินเค และไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยในการลดความเสี่ยงของโรคไต อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยในการต่อต้านการอักเสบและทำให้ไตแข็งแรง 4. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ผลไม้ชนิดนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยลดการอักเสบและป้องกันความเสียหายต่อไต อีกทั้งยังมีโพแทสเซียมต่ำ ทำให้เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมปริมาณโพแทสเซียมในอาหาร 5. น้ำมันมะกอก อุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดเดี่ยว ช่วยลดการอักเสบและลดความเสี่ยงของโรคไตเรื้อรัง น้ำมันมะกอกยังมีประโยชน์ในการลดความดันโลหิตและป้องกันโรคหัวใจที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคไต การเลือกอาหารเพื่อบำรุงไตไม่ใช่แค่การป้องกันโรคไต แต่ยังช่วยให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงอย่างครบถ้วน นอกจากนี้ก็อย่าลืมดื่มน้ำให้เพียงพอและหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจทำลายไต เช่น อาหารที่มีโซเดียมสูง […]

รู้หรือไม่? สุขภาพลำไส้ดี สุขภาพก็ดีตาม เพราะ 70% ของระบบภูมิคุ้มกันอยู่ที่ลำไส้

ทุกคนคงทราบดีว่าระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายคนเรานั้นมีความสำคัญที่สุด ภูมิไม่ตกไว้เป็นดีร่างกายจะได้แข็งแรง แต่ทราบมั้ยคะว่าระบบภูมิคุ้มกันแท้จริงแล้วมีความเกี่ยวเนื่องโดยตรงอย่างคาดไม่ถึงกับลำไส้ของเราค่ะ ลำไส้และระบบภูมิคุ้มกัน 70% ของระบบภูมิคุ้มกันของคนเรานั้นอยู่ที่ลำไส้ค่ะ เหตุเพราะในลำไส้นั้นเป็นที่อยู่ของหนึ่งในเม็ดเลือดขาวที่มีความสำคัญที่สุดนั่นคือเซลล์เพชฌฆาตหรือ NK Cell (Natural Killer Cell) โดยมีหน้าที่หลักคือ เป็นแนวหน้าในการป้องกันและทำลายเชื้อโรค จัดการเซลล์มะเร็งและเซลล์ติดเชื้อ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อโรคต่างๆ โดยปกติร่างกายคนเราจะมี NK Cell อยู่ประมาณ 2000-5000 ล้านเซลล์ ไม่ควรต่ำกว่านี้ ลำไส้เป็นแหล่งจุลินทรีย์ ลำไส้คือที่พำนักของจุลินทรีย์จำนวนมหาศาลค่ะ เหล่าจุลินทรีย์ดี เช่น โพรไบโอติกส์มีหน้าที่ช่วยเพิ่มจำนวนจุลินทรีย์ดีชนิดอื่น ช่วยรักษาสมดุลในลำไส้ นอกจากนั้นจุลินทรีย์ในลำไส้ยังมีผลต่อการหลั่งสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ (Psychobiotics) ได้แก่ 1. เซโรโทนิน (Serotonin) เป็นสารสื่อประสาทชนิดนึง ถูกผลิตขึ้นในลำไส้และทางเดินอาหารมากถึง 80-90% ค่ะเซโรโทนินมีผลต่ออารมณ์ความรู้สึก รวมถึงความยากอาหาร หากร่างกายของเราที่มีปริมาณเซโรโทนินเหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป จะทำให้เรารู้สึกมีความสุขทั้งทางร่างกายและจิตใจ แต่ในทางตรงกันข้าม หากร่างกายคนเราไม่ผลิตเซโรโทนินออกมา จะส่งผลต่อความผิดปกติทางจิตใจ 2. โดปามีน (Dopamine) เป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยควบคุมอารมณ์และความรู้สึก หากจุลินทรีย์ในลำไส้มีความสมดุลแข็งแรง ก็จะสามารถปล่อยสารสื่อประสาทชนิดนี้ออกมาได้อย่างสม่ำเสมอ […]

ระวัง5 อาหารที่อาจทำร้ายไตโดยไม่รู้ตัว 

ใน 1 วันคนเราไม่ควรกินเกลือเกิน 1 ช้อนชา หรือน้ำปลาเกิน 3 ช้อนชา แต่จากการสำรวจกลับพบว่า คนไทยเราได้รับโซเดียมเกินพอดีถึงกว่า 2 เท่า ส่งผลให้มีผู้ป่วยเป็นโรคเรื้อรังถึงกว่า 20 ล้านคน โดยเฉพาะโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งส่งผลต่ออวัยวะอื่นๆ โดยเฉพาะไตที่ต้องทำงานหนักขึ้นจนเป็นไตวายเรื้อรัง ยิ่งกินเค็มนานก็ยิ่งเสี่ยงหัวใจวาย หัวใจขาดเลือด เส้นเลือดสมองแตก จนกลายเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้เลยทีเดียวค่ะ แล้วโซเดียมก็ไม่ใช่แค่เกลือหรือน้ำปลานะคะ แต่มันอยู่ในทุกซอสปรุงรส ผงชูรส ซุปก้อน ผงฟูในขนมอบทั้งหลายก็มีปริมาณโซเดียมอยู่มากค่ะ มาดูกันว่าในแต่ละวันเราควรลดการทานอาหารที่มีโซเดียมสูงชนิดใดกันบ้าง อาหารแปรรูปหรือการถนอมอาหาร ได้แก่ อาหารกระป๋องทุกชนิด อาหารหมักดอง อาหารเค็ม อาหารตากแห้ง เนื้อเค็ม ปลาเค็ม ปลาร้า ผักดอง และผลไม้ดอง เครื่องปรุงรสชนิดต่างๆ เช่น เกลือ น้ำปลา ซีอิ๊วขาว เต้าเจี้ยว น้ำบูดู กะปิ เต้าหู้ยี้ ซอส หอยนางรม ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก น้ำจิ้มต่างๆ ผงชูรส แม้เป็นสารปรุงรสที่ไม่มีรสเค็ม […]

ความดันสูงหากปล่อยไว้ไม่รักษา  อาจเพิ่มเสี่ยงอัลไซเมอร์ถึง 42%! 

หลายคนคงทราบกันดีว่า “ความดันโลหิตสูง” นั้นถือเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาล่าสุดเผยว่า ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงโดยไม่ได้รับการรักษาหรือควบคุมอย่างเหมาะสม ก็ยังอาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมองเสื่อมแบบอัลไซเมอร์ เมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับการรักษาความดันโลหิตอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปก็ยิ่งเสี่ยงมากค่ะ สรุปข้อมูลจากผลการวิจัย งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลายแห่งทั่วโลกได้ทำการรวบรวมข้อมูลจากผู้เข้าร่วมการศึกษากว่า 34,000 คน ที่ไม่มีภาวะสมองเสื่อมในขณะเริ่มต้น โดยพบว่า ผู้ที่ปล่อยให้ความดันโลหิตสูงเป็นระยะเวลานานโดยไม่รักษา มีความเสี่ยงที่จะพัฒนาเป็นโรคอัลไซเมอร์สูงกว่าผู้ที่มีความดันโลหิตปกติถึง 42% และสูงกว่าผู้ที่ได้รับการรักษาความดันโลหิตถึง 26% นอกจากนี้ ในกลุ่มที่ได้รับการรักษาความดันโลหิตกลับไม่พบความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการเกิดโรคอัลไซเมอร์แต่อย่างใด  ทำไมความดันสูงถึงเพิ่มความเสี่ยง? การที่ความดันโลหิตสูงไม่ได้รับการรักษาจะ สามารถทำให้เส้นเลือดในสมองได้รับความเสียหาย ส่งผลให้เนื้อเยื่อสมองเสื่อมสภาพและความสามารถในการส่งเลือดและออกซิเจนลดลง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เซลล์สมองตายและเกิดภาวะสมองเสื่อม นอกจากนี้ นักวิจัยยังพบว่าการไม่ควบคุมความดันโลหิตอาจทำให้เกิดการสะสมของโปรตีนเบต้าอะมีลอยด์และเทา (Tau) ซึ่งมีส่วนทำให้เซลล์สมองทำงานผิดปกติ และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ในที่สุดค่ะ  แนวทางการป้องกันและดูแลสุขภาพ นักวิจัยบ่งชี้ว่า การรักษาความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคสมองเสื่อมได้ นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ที่ใช้ยารักษาความดันโลหิตอย่างต่อเนื่องมีความเสี่ยงต่อการเกิดอัลไซเมอร์ลดลงอย่างชัดเจน การรักษาความดันโลหิตสูงไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด แต่ยังช่วยป้องกันสมองจากการเสื่อมสภาพได้ด้วย  นอกจากนี้ การป้องกันความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์เริ่มต้นได้จากการควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ รวมถึงการดำเนินชีวิตที่สุขภาพดี เช่น การออกกำลังกายเป็นประจำ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง และลดการบริโภคเกลือ รวมถึงการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ และการใช้ยาที่ไม่ได้รับการสั่งจากแพทย์ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์ได้ค่ะ ดังนั้น […]

“โลหิตจาง” ภาวะอันตรายจากเม็ดเลือดแดงต่ำ  เป็นแล้วต้องระวัง!

โลหิตจาง หรือ “Anemia” เป็นภาวะที่เกิดจากการที่ร่างกายมีจำนวนเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ ซึ่งเม็ดเลือดแดงมีหน้าที่ในการนำออกซิเจนไปเลี้ยงทั่วร่างกายค่ะ เมื่อร่างกายมีปริมาณเม็ดเลือดแดงไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น รู้สึกเหนื่อยง่าย ซีด อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ และอาจหมดสติได้ หากอาการรุนแรงอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ซึ่งเป็นอันตรายที่ไม่ควรมองข้ามนะคะ สาเหตุของภาวะโลหิตจาง ภาวะโลหิตจางอาจเกิดจากหลายปัจจัย แต่สาเหตุหลักมักเกี่ยวข้องกับการขาดสารอาหารที่มีส่วนช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงค่ะ เช่น: การขาดธาตุเหล็ก การขาดวิตามินบี 12 การขาดโฟลิก นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น โรคประจำตัวบางประเภท การเสียเลือดเรื้อรัง หรือการสร้างเม็ดเลือดแดงผิดปกติในไขกระดูกค่ะ ซึ่งการวินิจฉัยและรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเกิดภาวะโลหิตจางในแต่ละบุคคล ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กเกิดขึ้นเมื่อร่างกายขาดธาตุเหล็กที่จำเป็นในการสร้างเม็ดเลือดแดงค่ะ กลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดภาวะนี้ ได้แก่: ทารกแรกเกิดและเด็กที่กินอาหารไม่เพียงพอ หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร วัยรุ่นที่เริ่มมีประจำเดือน ผู้สูงอายุ อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ อ่อนเพลีย เปลือกตาขาวซีด เล็บเปราะ และการรับรู้ทางสมองลดลงค่ะ เม็ดเลือดแดงจะมีขนาดเล็กลงและเมื่อเจาะเลือดตรวจจะพบว่ามีลักษณะเฉพาะของเม็ดเลือดแดงที่เรียกว่า “Pencil Cell” หรือเม็ดเลือดแดงที่มีรูปร่างเรียวยาวคล้ายดินสอ วิธีป้องกันภาวะขาดธาตุเหล็ก เพื่อป้องกันภาวะนี้ ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงค่ะ เช่น: เนื้อสัตว์และเครื่องในสัตว์ เช่น ตับและไต ไข่แดง […]

ดูแลตัวเองอย่างไร เมื่อ “ไตรกลีเซอไรด์สูง”

ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) เป็นไขมันที่พบในเลือดและมีส่วนสำคัญในการกักเก็บพลังงานที่ร่างกายไม่ได้ใช้ แต่หากมีระดับไตรกลีเซอไรด์สูงเกินไป อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้ เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบ และโรคตับอักเสบค่ะ ซึ่งสาเหตุของไตรกลีเซอไรด์สูงเกิดได้จากหลายปัจจัย มาดูกันค่ะว่า ไตรกลีเซอไรด์สูงเกิดจากอะไรบ้าง และเราจะดูแลตัวเองเพื่อควบคุมไตรกลีเซอไรด์ได้อย่างไรบ้างค่ะ สาเหตุที่ทำให้ไตรกลีเซอไรด์สูง การที่ไตรกลีเซอไรด์สูงอาจเกิดจากปัจจัยหลายประการ ทั้งกรรมพันธุ์และพฤติกรรม เช่น พันธุกรรม: ถ้าคนในครอบครัวมีประวัติไตรกลีเซอไรด์สูง อาจเพิ่มความเสี่ยงได้ อาหารและโภชนาการ: การทานอาหารไขมันสูง คาร์โบไฮเดรต และน้ำตาลปริมาณมาก เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน ข้าวขัดขาว ขนมหวาน น้ำตาล และอาหารทอด การใช้ชีวิต: สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และการพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงขึ้น โรคประจำตัวและยา: เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะขาดไทรอยด์ ยารักษาโรคบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาฮอร์โมน และยาต้านไวรัส ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด การตรวจระดับไตรกลีเซอไรด์ทำได้โดยการตรวจเลือด ซึ่งค่าไตรกลีเซอไรด์ปกติในเลือดแบ่งได้ตามเกณฑ์ต่อไปนี้ค่ะ ระดับปกติ: น้อยกว่า 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ระดับสูงเล็กน้อย: 150–199 มิลลิกรัม/เดซิลิตร […]

💡นี่คือเหตุผล…ว่าทำไมเราควรลด “โซเดียม” 🧂

โซเดียม (Sodium) เป็นเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่การบริโภคโซเดียมมากเกินไปสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้อย่างรุนแรง! ดังนั้น เราจึงควรระวังการบริโภคโซเดียมให้พอเหมาะ วันนี้เราจะมาดูเหตุผลที่สำคัญกันค่ะ ว่าทำไมเราจึงควรลดโซเดียมในอาหาร! ผลกระทบระยะสั้น 1. กระหายน้ำมากขึ้น : การบริโภคโซเดียมมากเกินไปทำให้ร่างกายต้องการน้ำมากขึ้น เพื่อขับโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกาย ซึ่งอาจทำให้รู้สึกกระหายน้ำตลอดเวลา และอาจนำไปสู่การดื่มน้ำมากเกินความจำเป็น ทำให้ไตทำงานหนักขึ้นในการขับน้ำส่วนเกินออก 2. ความดันโลหิตสูงขึ้น : โซเดียมมีผลทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น การบริโภคโซเดียมมากเกินไปทำให้หลอดเลือดหดตัว เพิ่มแรงดันในหลอดเลือด และอาจนำไปสู่ภาวะความดันโลหิตสูงเรื้อรังได้ 3. บวมน้ำ : การสะสมของโซเดียมในร่างกายทำให้ร่างกายเก็บกักน้ำ ทำให้เกิดอาการบวม โดยเฉพาะที่ใบหน้า มือ และเท้า อาจทำให้รู้สึกอึดอัดและไม่สบายตัว 4. ท้องอืดง่ายขึ้น : โซเดียมที่มากเกินไปทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ ทำให้ท้องอืด มีแก๊สในกระเพาะ และรู้สึกไม่สบายท้อง 5. เหนื่อยง่าย : โซเดียมมากเกินไปทำให้ร่างกายทำงานหนักขึ้นในการขับโซเดียมออก ส่งผลให้รู้สึกเหนื่อยล้า ไม่มีแรง และสมรรถภาพในการทำกิจกรรมลดลง ผลกระทบระยะยาว 1. ภาวะอ้วน : การบริโภคโซเดียมมากเกินไปสามารถทำให้เราอยากอาหารมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารที่มีเกลือสูง ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นและนำไปสู่ภาวะอ้วน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการเกิดโรคเรื้อรัง 2. โรคหัวใจ […]

รู้หรือไม่? คอเลสเตอรอลสูง ไม่ได้เกิดจากอาหารเท่านั้น

หลายคนคิดว่า “ไขมันในเลือดสูง” มาจากการกินอาหารที่มีไขมันเยอะ เช่น หมูสามชั้นหรือของทอด แต่คุณรู้ไหมว่า ไขมันในร่างกายส่วนใหญ่มาจาก “ตัวเราเอง” ต่างหาก! คอเลสเตอรอลในร่างกายมาจากไหน      80% ร่างกายสร้างขึ้นเอง     20% มาจากอาหารที่เรากิน ถึงแม้การคุมอาหารจะช่วยได้บ้าง แต่ก็ลดไขมันได้เพียง 10-15% เท่านั้น เพราะร่างกายสร้างคอเลสเตอรอลเองเป็นหลัก ตัวอย่างที่ชัดเจนคือดูได้จากการใช้ยาลดคอเลสเตอรอล      ยาที่ช่วยยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอล จากทางเดินอาหาร สามารถลดคอเลสเตอรอลได้ประมาณ 10-15% เท่านั้น     ยาที่ลดการสร้างคอเลสเตอรอลจากร่างกาย สามารถลดคอเลสเตอรอลได้ถึง 50% หรือครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว แล้ว “ตัวการ” ที่ทำให้คอเลสเตอรอลสูงที่สุดคืออะไร คำตอบคือ “ความเครียด” เมื่อร่างกายเครียด ระบบในร่างกายจะสร้างคอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้น เพื่อผลิตฮอร์โมนที่ใช้จัดการกับความเครียด อยากลดคอเลสเตอรอลอย่างมีประสิทธิภาพ 1. จัดการความเครียด เช่น ฝึกสมาธิ ออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย     2. ดูแลสุขภาพใจ เพราะใจที่สงบ จะช่วยลดฮอร์โมนความเครียด […]

ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ไขมันตัวร้ายที่มองไม่เห็น แต่กลับอันตรายที่สุด

ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) เป็นภัยร้ายที่ไม่ควรมองข้าม สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่ว่าจะอ้วนหรือผอม หากไม่ดูแลการกินและการออกกำลังกาย ไขมันชนิดนี้สามารถนำพามาสู่โรคต่างๆ ได้มากมาย มาทำความรู้จักและเรียนรู้วิธีป้องกันไขมันในช่องท้องไปพร้อมกันค่ะ! ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) คืออะไร? ไขมันในช่องท้อง คือไขมันที่สะสมรอบอวัยวะภายใน เช่น ตับ ตับอ่อน และลำไส้ ต่างจากไขมันใต้ผิวหนังที่อยู่บริเวณผิวหนังที่เราสามารถจับหรือบีบได้ ไขมันในช่องท้องจะอยู่ลึกเข้าไปในร่างกาย และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคอันตราย เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และไขมันในเลือดสูง Visceral Fat มักมองไม่เห็นจากภายนอก สะสมได้ทั้งในคนผอมและคนมีน้ำหนักเกิน ถึงแม้บางคนดูผอม แต่หากมีปัจจัยเสี่ยง เช่น การกินอาหารไม่ดีหรือไม่ออกกำลังกาย ไขมันในช่องท้องก็สะสมได้เช่นกันค่ะ ปัจจัยที่ทำให้เกิดไขมันในช่องท้อง 1. อาหารน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตสูง  เช่น เบเกอรี่ ขนมเค้ก น้ำเชื่อมข้าวโพด ฟาสต์ฟู้ด รวมถึงน้ำอัดลมและชา-กาแฟหวาน 2. ไขมันทรานส์ (Trans Fat) พบในอาหารแปรรูป เช่น ขนมอบ อาหารทอด และมาการีน 3. แอลกอฮอล์ […]

ฮอร์โมน DHEA ต่ำ จะส่งผลเสียอย่างไรต่อร่างกาย?

DHEA คืออะไร DHEA (Dehydroepiandrosterone) เป็นฮอร์โมนสำคัญที่ช่วยจัดการความเครียด โดยปกติระดับควรอยู่ที่มากกว่า 280 µg/mL หากระดับฮอร์โมนนี้ลดต่ำลง อาจบ่งบอกว่าร่างกายเผชิญกับความเครียดหรือใช้งานฮอร์โมนนี้มากเกินไป สาเหตุของฮอร์โมน DHEA ต่ำ ความเครียดสะสมเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ร่างกายใช้งาน DHEA มากเกินไป นอกจากนี้ การพักผ่อนไม่เพียงพอและพฤติกรรมการนอนหลับที่ไม่เหมาะสมก็ส่งผลต่อการผลิตและฟื้นฟูฮอร์โมนตัวนี้ อาการที่บ่งบอกว่าฮอร์โมน DHEA ต่ำ 1. ปัสสาวะบ่อยและใสมาก ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ขับออกหมด2. ความดันโลหิตต่ำ เนื่องจากฮอร์โมนนี้มีหน้าที่ในการเก็บน้ำและเกลือในร่างกาย หากเก็บไม่ได้ ความดันโลหิตจะลดลง3. เพลีย รู้สึกไม่สดชื่นตั้งแต่ตื่นนอน แม้จะพักผ่อนแล้วก็ยังรู้สึกเหนื่อย4. ขาดความสดชื่นในช่วงกลางวัน อาจรู้สึกหมดแรงหรือไม่กระปรี้กระเปร่า ฟื้นฟู DHEA ได้อย่างไร? 1. พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับอย่างน้อย 7-9 ชั่วโมงต่อวัน และควรเริ่มเข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่ม2. ลดความเครียด ใช้เทคนิคผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิหรือจัดการเวลาดีขึ้น3. ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมต่อวัน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่ช่วยบำรุงต่อมหมวกไต เช่น อะโวคาโด ผักใบเขียว และไขมันดีสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมาย Line […]