หลายคนรู้ว่าวิตามินดีสำคัญต่อกระดูก แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่รู้ว่า ระดับวิตามินดีในร่างกาย ยังมีความเกี่ยวข้องกับ “ความเสื่อมของสมอง” ด้วย งานวิจัยทางการแพทย์พบว่าผู้ที่มีระดับวิตามินดีต่ำมาก (ต่ำกว่า 10 ng/mL) มีความเสี่ยงเกิดภาวะสมองเสื่อมเพิ่มขึ้นถึง 122% และผู้ที่มีระดับวิตามินดีต่ำกว่าเกณฑ์ (ต่ำกว่า 20 ng/mL) มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นประมาณ 51% เมื่อเทียบกับคนที่มีวิตามินดีเพียงพอ ทำไมคนยุคใหม่ขาดวิตามินดีมากขึ้น? เพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตเปลี่ยนไป เช่น ทำงานในออฟฟิศ อยู่ในอาคารเป็นเวลานาน ใช้ชีวิตในห้างหรือห้องแอร์ ทำให้ร่างกายได้รับแสงแดดน้อยลง ซึ่งเป็นแหล่งสร้างวิตามินดีตามธรรมชาติ วิตามินดีมีส่วนช่วย ลดการอักเสบของเซลล์ประสาท ส่งเสริมการทำงานของสารสื่อประสาท สนับสนุนการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมอง มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลั่ง “เซโรโทนิน” ซึ่งช่วยควบคุมอารมณ์และความเครียด แหล่งของวิตามินดี แสงแดดอ่อนช่วงเช้า อาหาร เช่น ปลาแซลมอน ไข่แดง นมเสริมวิตามินดี วิตามินเสริม โดยเฉพาะ วิตามิน D3 (ควรอยู่ในคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ) การดูแลระดับวิตามินดีอย่างเหมาะสม ไม่เพียงช่วยให้กระดูกแข็งแรง แต่ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการดูแล “สมองให้แข็งแรงในระยะยาว” สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมาย Line : https://line.me/R/ti/p/%40214byvpd Website […]
Author Archives: admin
ไหมว่า “ค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c)” ถ้าเกิน 6.5 ถือว่าเข้าสู่ภาวะเบาหวาน แต่ถ้าอินซูลินยังไม่สูง แปลว่า “ตับอ่อนยังทำงานได้ดี” และยังสามารถฟื้นฟูได้ด้วยการ คุมอาหารให้เหมาะสม เมื่อเรากินข้าว แป้ง น้ำตาล หรือแอลกอฮอล์ สิ่งเหล่านี้จะถูกย่อยกลายเป็น “น้ำตาลในเลือด” ปกติร่างกายจะหลั่ง “อินซูลิน” จากตับอ่อนเพื่อช่วยลดน้ำตาล แต่ถ้ากินหวานหรือแป้งมากเกินไป น้ำตาลก็จะพุ่งสูงแม้อินซูลินยังดีอยู่ แนวทางฟื้นฟูง่าย ๆ 1. ทำ IF (Intermittent Fasting) กินแค่ 2 มื้อ เช่น เที่ยง–เย็น (เวลากินใกล้กันดีที่สุด) 2. ตัดขนมและของหวานจัดออกก่อน โดยเฉพาะแป้งขัดสีและน้ำตาล 3. กินเป็นมื้อ ๆ เท่านั้น ห้ามกินจุกจิกนอกมื้อ 4. เลือกเวลากินให้ดี ร่างกายคุมน้ำตาลได้ดีที่สุดตอนเช้า–กลางวัน ถ้าอยากกินขนม ให้กินตอนเที่ยง ห้ามกินมื้อเย็น เพียงคุมอาหารและเวลาการกินอย่างสม่ำเสมอ น้ำตาลในเลือดจะค่อย ๆ กลับมาปกติได้ — โดยไม่ต้องพึ่งยาในระยะเริ่มต้นค่ะ […]
หลายคนโฟกัสแต่อาหารและการออกกำลังกาย แต่ สิ่งแรกที่อยากให้เริ่มคือ นอนให้ดี เพราะการนอนส่งผลต่อ “ฮอร์โมนที่ควบคุมการเผาผลาญ” และ “ความอยากอาหาร” โดยตรง เมื่อเรานอนดึก ร่างกายจะเผาผลาญพลังงานได้แย่ลง และในวันถัดมา “ความอยากของหวาน” หรือ Sugar Craving จะพุ่งสูง ทำให้กินเยอะโดยไม่รู้ตัว หลักง่าย ๆ คือ ควรนอนก่อน สี่ทุ่ม ห้ามนอนเกิน เที่ยงคืนเด็ดขาด ถ้ายังนอนเร็วไม่ได้ ให้ค่อย ๆ ขยับเวลานอนขึ้นทีละครึ่งชั่วโมงต่อสัปดาห์ งานวิจัยยืนยันว่า “คนนอนดึก” มีแนวโน้ม คุมน้ำตาลไม่ได้ และ เสี่ยงเบาหวาน มากกว่า เพราะฉะนั้น ถ้าอยากลดน้ำหนักให้ได้ผลควรเริ่มจากการนอนดี ๆ ก่อนนะคะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมาย Line : https://line.me/R/ti/p/%40214byvpd Website : https://healthfocusclinic.co.th/ Tel : 02-096-4945 Location : The Grove Hathairaj (เดอะ […]
“วิตามินอี” ถือเป็นวิตามินที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “วิตามินชะลอความแก่” เนื่องด้วยคุณสมบัติในการทำงานที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงของมันนั่นเองค่ะ จึงช่วยยับยั้งความเสื่อมของเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย ไม่ให้แก่ก่อนวัยหรือถูกทำลายได้ ดังนั้น สำหรับใครที่ต้องการดูแลทั้งสุขภาพและความงาม วิตามินอีจึงเป็นตัวช่วยที่ขาดไปไม่ได้เลย โดย Bluzone ขอนำเสนอประโยชน์เด่นๆ ของวิตามินอีต่อสุขภาพดังต่อไปนี้ค่ะ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่ระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย เพื่อให้ร่างกายสามารถต่อต้านการติดเชื้อ กำจัดเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใส ชุ่มชื่น ไม่เหี่ยวย่น หรือแก่ก่อนวัย ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดจากการเกิดลิ่มเลือด หรือคอเลสเตอรอลอุดตันหลอดเลือดหัวใจ จากการเสื่อมสภาพของเซลล์หลอดเลือด ป้องกันสมองเสื่อม ช่วยลดความเสื่อมของเซลล์สมองจากการทำลายโดยอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงสายตาและการมองเห็น ป้องกันการเกิดโรคต้อกระจกและจอประสาทตาเสื่อม เนื่องจากวิตามินอีละลายได้ดีในน้ำมัน เราจึงมักพบวิตามินอีในอาหารที่มีน้ำมันเป็นองค์ประกอบ เช่น น้ำมันพืช และธัญพืชที่ไม่ขัดขาว ได้แก่ ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดธัญพืช น้ำมันพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันจากข้าวโพด น้ำมันมะกอก จมูกข้าว ซีเรียล เป็นต้น ทั้งนี้ ปริมาณวิตามินอีที่แนะนำให้บริโภคโดยเฉลี่ย คือ 15 มิลลิกรัมต่อวัน (22.4 IU) สำหรับผู้ใหญ่ทั่วไป ซึ่งหากเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดี และรับประทานอาหารครบ […]
อาการเหน็บชา หลายคนอาจเคยรู้สึกเวลา “นั่งขัดสมาธิ นั่งไขว่ห้าง หรือเกร็งนานๆ” แล้วเกิดอาการชาแป๊บเดียวก่อนจะหาย แบบนี้ถือว่า “ปกติ” ค่ะ เพราะเกิดจากการกดทับเส้นประสาทชั่วคราว แต่หากคุณ มีอาการเหน็บชาบ่อย ชาโดยไม่มีสาเหตุ หรือชาแม้ไม่ได้กดทับ นั่นอาจไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป เพราะอาจเป็น “สัญญาณเตือน” ของภาวะขาดวิตามินที่สำคัญต่อระบบประสาทอย่าง วิตามิน B1 (ไทอามีน) ซึ่งอาจนำไปสู่ “โรคเหน็บชา (Beriberi)” ได้ค่ะ โรคเหน็บชา คืออะไร? โรคเหน็บชา หรือภาวะขาดวิตามิน B1 เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทและการทำงานของกล้ามเนื้อ พบได้บ่อยในกลุ่มคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะผู้ที่รับประทานข้าวขาวหรือธัญพืชขัดสีเป็นประจำ ซึ่งทำให้ร่างกายสูญเสียวิตามิน B1 ไป วิตามิน B1 มีบทบาทสำคัญในการเผาผลาญพลังงาน และช่วยให้ระบบประสาททำงานปกติ ร่างกายไม่สามารถสร้างหรือกักเก็บได้ จึงจำเป็นต้องได้รับจากอาหารทุกวัน หากขาดสะสมอาจเกิดโรคเหน็บชาได้ค่ะ ชนิดของโรคเหน็บชา 1. เหน็บชาชนิดผอมแห้ง (Dry Beriberi) ชาบริเวณปลายมือปลายเท้า กล้ามเนื้อขาอ่อนแรง ลุกยืนลำบาก ปวดตามตัว เหนื่อยง่าย อาจมีอาการประสาทหลอนหรือสับสน 2. […]
สวัสดีค่ะ! วันนี้เราจะมาพูดถึง ‘วิตามินซี’ วิตามินสำคัญที่มีบทบาทสำคัญหลายด้านต่อร่างกายเรา รวมถึงกระบวนการสร้างคอลลาเจน ซึ่งช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง และซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่างๆ เช่น ผิวหนัง ผนังหลอดเลือด เส้นเอ็น กระดูกอ่อน กระดูก และฟันให้แข็งแรง ซึ่งหากร่างกายของเราได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอ ก็อาจส่งผลให้เกิด ‘ภาวะขาดวิตามินซี’ และนำไปสู่อาการผิดปกติต่างๆ ได้ และนี่คือ 5 สัญญาณที่อาจบ่งบอกได้ว่าร่างกายของเราอาจกำลังขาดวิตามินซีอยู่ค่ะ: อ่อนเพลียผิดปกติ: หากร่างกายเริ่มขาดวิตามินซี อาการแรกที่มักพบคือ ความรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น และอ่อนล้าแม้ไม่ได้ทำกิจกรรมหนักใดๆ ค่ะ เลือดออกง่าย: หากพบว่าเลือดแข็งตัวช้า หรือเกิดรอยช้ำง่าย นั่นอาจเป็นสัญญาณของการขาดวิตามินซี เนื่องจากผนังหลอดเลือดไม่แข็งแรงเนื่องจากขาดวิตามินซีค่ะ อาการผิดปกติบริเวณเหงือก: เหงือกบวมแดง มีเลือดออกบ่อย และเลือดออกตามไรฟัน อาจเป็นสัญญาณของการผลิตคอลลาเจนที่ผิดปกติเนื่องจากขาดวิตามินซีค่ะ ปวดตามข้อและกล้ามเนื้อ: หากคุณมีอาการปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ หรือข้อบวม นั่นอาจเป็นสัญญาณของการขาดวิตามินซีอย่างรุนแรงค่ะ ป่วยง่าย: วิตามินซีมีบทบาทสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกัน การขาดวิตามินซีจึงทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราอ่อนแอลง ส่งผลให้เจ็บป่วยง่ายและอาการหายช้าลงค่ะ นอกจากนี้ ผู้ที่มีภาวะขาดวิตามินซีก็ยังอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ผิวแห้ง ผมขาดง่าย แผลหายช้า […]
ภาวะ “สมองเสื่อม” เป็นปัญหาสุขภาพที่ไม่มีใครอยากเผชิญ แต่รู้ไหมคะว่าในชีวิตประจำวันของเรามีปัจจัยที่อาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะนี้โดยไม่รู้ตัวเลย มาเรียนรู้กันค่ะว่าสิ่งที่เราควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดความเสี่ยงนี้มีอะไรบ้าง รวมถึงคำแนะนำเพื่อให้คุณสามารถป้องกันตนเองและครอบครัวได้จากภาวะสมองเสื่อมค่ะ 1. ไขมันในเลือดสูง การมีไขมันในเลือดสูง ไม่ว่าจะเป็นคอเลสเตอรอลหรือไขมันไม่ดีอื่นๆ อาจเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคเรื้อรัง เช่น ความดันโลหิตสูงและโรคไขมันในเลือดสูง ซึ่งสองโรคนี้เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโรคหลอดเลือดสมอง การมีหลอดเลือดที่ไม่แข็งแรงอาจทำให้การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองน้อยลง ทำให้เซลล์สมองขาดออกซิเจนและเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อมในระยะยาว คำแนะนำ: ควบคุมอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่น อาหารทอด ไขมันทรานส์ และเนื้อสัตว์ที่มีไขมันมาก ควรทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น และออกกำลังกายเป็นประจำช่วยควบคุมระดับไขมันในเลือดค่ะ 2. การบริโภคน้ำตาลมากเกินไป การทานของหวานมากเกินไปไม่ใช่แค่ทำให้น้ำหนักขึ้นเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับภาวะการอักเสบเรื้อรังทั่วร่างกาย รวมถึงสมองด้วยค่ะ การบริโภคน้ำตาลที่มากเกินไปสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อความผิดปกติทางระบบประสาท และทำให้ความสามารถในการคิดและความจำลดลงเรื่อยๆคำแนะนำ: ลดการบริโภคน้ำตาลในทุกๆ รูปแบบ ทั้งเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ขนมหวาน และอาหารแปรรูป ลองเปลี่ยนมาทานผลไม้แทนนะคะ หวานธรรมชาติแถมยังมีไฟเบอร์ช่วยให้สุขภาพดีค่ะ 3. การนอนหลับน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน การนอนหลับไม่เพียงพอ โดยเฉพาะนอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืนในวัยกลางคน อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองเสื่อมได้ถึง 30% การนอนหลับเป็นช่วงเวลาที่สมองได้ซ่อมแซมและฟื้นฟูตัวเอง ถ้านอนไม่พอ สมองอาจไม่สามารถกำจัดสารที่ทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมออกจากร่างกายได้คำแนะนำ: ควรให้ความสำคัญกับการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ พยายามสร้างกิจวัตรการนอนให้เป็นเวลา และหลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอนค่ะ 4. […]
แมกนีเซียมเป็นแร่ธาตุที่มีอยู่ในร่างกายของเรามากเป็นอันดับสี่ พบมากในกระดูกและเป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย มีบทบาทสำคัญต่อระบบต่างๆ เพื่อให้เห็นความสำคัญของการทานแมกนีเซียมให้เพียงพอ วันนี้เราจึงเอาประโยชน์ทั้ง 8 ข้อของแมกนีเซียมบอกให้รู้กันค่ะ ทำให้เกิดปฏิกิริยาชีวเคมี แมกนีเซียมกว่า 60% ของร่างกายพบได้ในกระดูก ที่เหลือจะกระจายอยู่ที่กล้ามเนื้อ เลือดและเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกาย เนื่องจากหน้าที่หลักของแมกนีเซียมคือเป็นตัวช่วยในการทำเกิดปฏิกิริยาชีวเคมี เช่น การเปลี่ยนอาหารเป็นพลังงาน เปลี่ยนโปรตีนเป็นกรดอะมิโน ซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหาย และช่วยควบคุมสารสื่อประสาทค่ะ ตัวช่วยการออกกำลังกาย แมกนีเซียมจะช่วยนำน้ำตาลเข้าไปยังกล้ามเนื้อเพื่อกำจัดแลคเตทที่ทำให้กล้ามเนื้อเกิดความเหนื่อยล้า และช่วยเสริมการออกกำลังกายในผู้สูงอายุและผู้ที่เป็นโรคเรื้อรัง การศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่านักกีฬาวอลเลย์บอลที่ได้รับแมกนีเซียมเสริม 250 มก./วัน ความสามารถในการกระโดดและกำลังแขนเพิ่มมากขึ้น แมกนีเซียมยังมีผลให้ระดับอินซูลินและความเครียดลดลง ทำให้ประสิทธิภาพการแข่งดีขึ้นและลดการเป็นตะคริวลงด้วย ลดอาการซึมเศร้า แมกนีเซียมมีส่วนสำคัญในการทำงานของสมองและอารมณ์ ผู้เชี่ยวชาญบางทานถึงกับตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุที่ปัจจุบันมีคนเป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้นเพราะแร่ธาตุในอาหารยุคนี้ลดน้อยลงกว่าแต่ก่อนมาก งานวิจัยชิ้นหนึ่งยังพบว่า อาการซึมเศร้าในผู้สูงอายุลดลงเมื่อได้รับแมกนีเซียม 450 มก./วัน ค่ะ ป้องกันเบาหวาน งานวิจัยชี้ว่า กว่า 48% ของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (คนส่วนใหญ่เป็นเบาหวานชนิดนี้ค่ะ) มีแมกนีเซียมอยู่ในระดับต่ำมากค่ะ ย้ำด้วยงานวิจัยอีกชิ้นที่ติดตามชีวิตคนกว่า 4,000 คนในระยะเวลา 20 ปี พบว่า ในกลุ่มคนที่ได้รับแมกนีเซียมอย่างเพียงพอความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานนั่นมีน้อยกว่าอีกกลุ่มถึง 46% […]
แมกนีเซียม (Magnesium) หนึ่งในแร่ธาตุที่มีความสำคัญ สามารถพบได้ในทุกเซลล์ของร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณกระดูก เป็นแร่ธาตุที่ร่างกายคนเราขาดไม่ได้ หนึ่งในประเภทของแมกนีเซียมตัวเลือกยอดนิยมคือ คีเลตแมกนีเซียม คีเลตแมกนีเซียม คืออะไร? ต่างกับแมกนีเซียมทั่วไปอย่างไร? คีเลตแมกนีเซียม เป็นแมกนีเซียมรูปแบบหนึ่งที่จับการสารคีเลต ซึ่งสารคีเลตส่วนใหญ่จะยึดเหนี่ยวกับโมเลกุลอินทรีย์ เช่น กรดอะมิโน ด้วยการสร้างพันธะแบบนี้เปรียบเสมือนมีตัวช่วยนำพาแมกนีเซียมผ่านเข้าไปได้ง่ายขึ้น จึงยิ่งทำให้แมกนีเซียมถูกดูดซึมได้ง่ายและร่างกายได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ เมื่อเทียบกับแมกนีเซียมทั่วไปที่ไม่มีการสร้างพันธะดังกล่าว ประโยชน์ของคีเลตแมกนีเซียม บรรเทาอาการปวดไมเกรน โดยงานวิจัยพบว่า ผู้ที่ปวดหัวไมเกรนจะมีระดับแมกนีเซียมในร่างกายต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ และข้อมูลจากงานวิจัยในมนุษย์บางฉบับพบว่าการใช้แมกนีเซียมช่วยลดจำนวนวันหรือจำนวนครั้งของการปวดศีรษะไมเกรนต่อเดือนลงได้ร้อยละ 22-43 ซึ่งมากกว่ายาหลอกอย่างมีนัยสำคัญ แต่อาจสรุปได้ว่าการใช้แมกนีเซียมเพื่อป้องกันการเกิดอาการปวดไมเกรนนั้นอาจได้ประโยชน์สำหรับบางคน ดังนั้นก่อนการเลือกทานแมกนีเซียมควรศึกษาถึงปัจจัยเสี่ยงและขอคำปรึกษาจากแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อรับทราบข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ช่วยการนอนหลับ แมกนีเซียมนั้นมีส่วนช่วยควบคุมสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับการนอน ช่วยทำให้มีคุณภาพการนอนหลับที่ดีขึ้น นอกจากนั้นงานวิจัยบางชิ้นยังบ่งชี้ว่าการบริโภคแมกนีเซียมที่มากขึ้นโดยเฉพาะในผู้หญิง สามารถช่วยให้รู้สึกง่วงและหลับน้อยลงในเวลากลางวันอีกด้วย ลดการเกิดตะคริว ตะคริว หรือ ภาวะหดเกร็งของกล้ามเนื้ออย่างกระทันหัน ซึ่งแมกนีเซียมจะทำหน้าที่เข้าไปช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อและหลอดเลือด อาการตะคริวถึงแม้จะไม่ส่งผลอันตรายร้ายแรงอย่างมากต่อร่างกาย แต่ก็อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุที่ร้ายแรงขึ้นได้เช่น หากเกิดตอนว่ายน้ำ ออกกำลังกาย หรือตอนขับรถ หากร่างกายขาดแมกนีเซียม จะเกิดอะไรขึ้น? ส่งผลต่อสมอง รู้สึกวิตกกังวล กระสับกระส่าย ปวดไมเกรนบ่อย ส่งผลต่อกล้ามเนื้อ รู้สึกเกิดอาการปวดบริเวณขา น่อง หลัง และตึงเครียดบริเวณคอ บ่า ไหล่ […]
หลายคนที่มีภาวะ “ความดันโลหิตสูง” มักให้ความสำคัญแค่กับการ ลดเกลือ หรือ ลดโซเดียม ในอาหารเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว ยังมีอีกหนึ่งสารอาหารที่จำเป็นมากและมักถูกมองข้าม นั่นคือ “แมกนีเซียม (Magnesium)” ทำไมแมกนีเซียมถึงสำคัญกับคนความดันสูง? เพราะแมกนีเซียมมีบทบาทสำคัญในการช่วย “คลายตัวของหลอดเลือด” ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะความดันโลหิตสูง หากร่างกายขาดแมกนีเซียม หลอดเลือดจะหดตัวง่ายขึ้น ระบบประสาทและหัวใจทำงานผิดปกติ อาจมีอาการใจสั่น นอนไม่หลับ หรือเป็นตะคริวง่าย และเมื่อเกิดขึ้นบ่อย ๆ ก็จะส่งผลให้ “ความดันสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง” โดยไม่รู้ตัว ดังนั้น คนที่เป็นความดันโลหิตสูงจึงควรใส่ใจเรื่องอาหารมากเป็นพิเศษ ทำอาหารรับประทานเอง เพื่อควบคุมปริมาณเกลือและวัตถุดิบ เลี่ยงอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ลดน้ำซุป น้ำแกง หรือน้ำจิ้มที่มีโซเดียมสูง เพิ่มอาหารที่อุดมด้วย โพแทสเซียม เช่น กล้วย ฝรั่ง อะโวคาโด เพิ่มอาหารที่อุดมด้วย แมกนีเซียม เช่น เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน ถั่วอัลมอนด์ […]









