อาการเช่นนี้อาจเกิดขึ้นเมื่อเราตกอยู่ในสถานการณ์ที่กดดัน เช่น ตื่นเต้น เครียด วิตกกังวล หรืออาจมาจากการดื่มกาแฟมากเกินไป แต่ถ้าใครมีอาการมือสั่นอย่างรุนแรงและไม่สามารถหาสาเหตุได้ นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคบางอย่าง ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษาก็อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันและการทำงานได้เลยค่ะ
“มือสั่น” แบบไหนเสี่ยงโรคร้าย?
อาการมือสั่นมีทั้งแบบที่เป็นอันตรายและไม่เป็นอันตราย โดยมีจุดที่สังเกตเบื้องต้นได้ดังต่อไปนี้ค่ะ:
1. หากมีอาการมือสั่นทั้ง 2 ข้าง และพบว่าสัมพันธ์กับความเครียด ความวิตกกังวล การทำงานหรือออกกำลังกายหักโหม หรือการบริโภคเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน อาจเป็นอาการมือสั่นที่พบได้ตามปกติและไม่เป็นอันตราย อาการนี้มักจะหายไปเองได้หากปรับพฤติกรรมให้เหมาะสม โดยมีแนวทางดูแลตัวเองดังนี้ค่ะ
– หาวิธีจัดการกับความเครียดและวิตกกังวลที่เข้ามา เช่น ฝึกหายใจเข้าออกลึกๆ ทำสมาธิ หรือโยคะ
– พักจากงาน หาเวลาว่างทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจ เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง ทำงานอดิเรก
– นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
– ออกกำลังกายแบบหักโหมเกินไป เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ ปั่นจักรยานเบาๆ หรือว่ายน้ำ
– ลดปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา หรือเครื่องดื่มชูกำลัง
2. แต่หากอาการมือสั่นไม่ได้สัมพันธ์กับเหตุผลดังกล่าว และยังคงมีอาการสั่นตลอดเวลาแบบหาสาเหตุไม่ได้ หรืออาการสั่นรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันหรือการทำงาน ก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุของอาการ เนื่องจากอาการสั่นอาจเป็นสัญญาณของโรคหลายชนิด ดังเช่น
– โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s Disease): เป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมของเซลล์สมอง โดยเฉพาะส่วนที่สร้างโดพามีน (dopamine) ทำให้มีปริมาณโดพามีนน้อยลง ส่งผลให้เกิดความผิดปกติในการเคลื่อนไหว ผู้ป่วยมักมีอาการมือสั่นข้างเดียว และสั่นเมื่อมืออยู่เฉยๆ
– โรคสั่นโดยไม่ทราบสาเหตุ (Essential Tremor): ผู้ป่วยมักมีอาการมือสั่นทั้ง 2 ข้าง และแสดงอาการชัดเจนเมื่อหยิบจับสิ่งของ เช่น สั่นขณะใช้ช้อนตักอาหาร หยิบแก้วน้ำแล้วน้ำกระฉอก หรือสั่นขณะเขียนหนังสือ หากเป็นมานานอาจมีอาการศีรษะสั่นหรือพูดเสียงสั่นร่วมด้วย
นอกจากนี้ก็ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการมือสั่นได้ เช่น ภาวะไข้ การติดเชื้อ ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ การใช้ยาบางชนิด เช่น ยากันชัก ยาต้านเศร้า ยาขยายหลอดลม หรือการขาดสารอาหารบางอย่าง จึงควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป อย่าลืมดูแลสุขภาพและสังเกตตนเองกันให้ดีนะคะ