Stroke หรือ “โรคหลอดเลือดสมอง” เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทย และเป็นโรคที่ทำให้เกิดความพิการสูงที่สุดอีกด้วย ผู้ป่วยที่รอดชีวิตส่วนใหญ่มักมีอาการอัมพาตครึ่งซีก พูดลำบาก กลืนลำบาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตเป็นอย่างมาก แม้ปัจจุบันวิทยาการทางการแพทย์จะก้าวหน้าไปมาก แต่ในความเป็นจริงกลับพบว่า ผู้ป่วย Stroke ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี
วันนี้จะมาไขข้อข้องใจว่า “โรคหลอดเลือดสมอง” นั้นรักษาให้หายขาดได้หรือไม่ พร้อมแนะนำแนวทางการดูแลรักษาแบบ Anti-aging และเวชศาสตร์ชะลอวัย เพื่อหวังลดการพึ่งพายา และป้องกันไม่ให้โรคกลับมาเป็นซ้ำอีก
“Stroke คือ” อะไร
“Stroke (สโตรก) คือ” ภาวะที่สมองได้รับความเสียหายจากการขาดเลือดไปเลี้ยง ทำให้เนื้อสมองบางส่วนตายและสูญเสียการทำงานไป อาจมีสาเหตุจากเส้นเลือดในสมองแตกหรืออุดตัน ถ้าอุดตันเรียกว่า Ischemic stroke แต่ถ้าแตกจะเรียกว่า Hemorrhagic stroke ซึ่งทั้ง 2 แบบจัดเป็นเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องรีบรักษาอย่างทันท่วงที มิเช่นนั้นความเสียหายของสมองจะลุกลามจนเกินเยียวยา
“เส้นเลือดในสมองตีบอาการเริ่มแรก”
“โรคหลอดเลือดสมอง” ที่มีสาเหตุจาก “หลอดเลือดสมองตีบ” อาจจะแสดงอาการนำร่องบางอย่างก่อนเกิด Stroke เต็มรูปแบบ “อาการสโตรก” เริ่มแรกที่พบบ่อย ได้แก่
- อ่อนแรงหรือชาที่ใบหน้า แขน ขา ครึ่งซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย
- สับสน พูดลำบาก ไม่เข้าใจคำพูดของผู้อื่น
- ตาข้างใดข้างหนึ่งมองเห็นไม่ชัดหรือมองไม่เห็นเลย
- เดินลำบาก เซ หน้ามืด เวียนศีรษะ ทรงตัวไม่ได้
หากสังเกตเห็นอาการผิดปกติดังกล่าว ควรรีบพาส่งโรงพยาบาลที่มีศูนย์ “โรคหลอดเลือดสมอง” โดยด่วนที่สุด เพื่อให้ได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที
รักษา Stroke ให้หายขาดได้หรือไม่
เนื่องจากเซลล์สมองที่ตายแล้วไม่สามารถฟื้นกลับคืนมาได้ การรักษา Stroke ส่วนใหญ่จึงมุ่งเน้นไปที่การป้องกันไม่ให้เนื้อสมองตายลุกลามไปมากกว่าเดิม ด้วยการรีบเปิด “หลอดเลือดสมองตีบ” ให้เร็วที่สุด เพื่อแลเลือดกลับเข้าไปหล่อเลี้ยงส่วนที่ยังไม่ตาย ยิ่งมาถึงเร็วเท่าไหร่ความเสียหายยิ่งน้อยลงเท่านั้น และอาการอัมพาตก็จะค่อยๆ ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะรักษาหายจากตัวโรคแล้ว แต่ผู้ป่วยก็ยังมีความเสี่ยงที่จะกลับมาเป็น Stroke ซ้ำได้อีก หากไม่ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้ห่างไกลจากปัจจัยเสี่ยง ดังนั้นการดูแลระยะยาวและการป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
“แนวทางการรักษาแบบ Anti-aging และเวชศาสตร์ชะลอวัย”
“Health Focus Clinic” เราเชื่อมั่นในแนวทางการแพทย์แบบ Anti-aging และเวชศาสตร์ชะลอวัย ซึ่งมุ่งเน้นการป้องกันไม่ให้เกิดโรค ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการมีสุขภาพดี โดยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้ห่างไกลจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ แทนการรอให้เกิดโรคแล้วค่อยมารักษา ดังนั้นผู้ป่วยที่เคยเป็น Stroke มาแล้ว จึงควรพิจารณาปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิต ดังนี้
- ควบคุมปัจจัยเสี่ยงให้ได้ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ด้วยการรับประทานยาสม่ำเสมอ พร้อมตรวจติดตามค่าต่างๆ อย่างใกล้ชิด
- เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ด้วยการลดอาหารไขมันสูง แป้งและน้ำตาล หันมารับประทานผัก ผลไม้ ธัญพืช และไขมันดีให้มากขึ้น
- ออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที เลือกออกกำลังในแบบที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายและความสามารถของตัวเอง
- ลด ละ เลิก บุหรี่และสุรา เพราะจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเป็น Stroke ได้มากถึง 2-3 เท่า
- ฝึกการจัดการความเครียด ผ่อนคลายด้วยกิจกรรมที่ชอบ นอนหลับให้เพียงพอ เพราะความเครียดเรื้อรังจะไปบั่นทอนสุขภาพในระยะยาว
แม้จะไม่สามารถรักษา Stroke ให้หายขาดได้ 100% แต่การปรับเปลี่ยนไปสู่วิถีสุขภาพดีในแนวทางของการชะลอวัยและป้องกันโรค ก็เป็นสิ่งที่จะช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกาย ลดความพิการ และป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้มาก สิ่งสำคัญคือทั้งตัวผู้ป่วยเองและคนในครอบครัวจะต้องให้ความร่วมมือกันอย่างเต็มที่ ในการปรับวิถีชีวิตใหม่ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ไม่เพียงเท่านั้น การติดตามพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อประเมินอาการ ก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะในบางครั้งอาจมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ยาช่วยควบคุมปัจจัยเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาให้ตามความเหมาะสมเป็นรายบุคคลไป
สุดท้ายนี้ ขอฝากเตือนว่า ทุกๆ คนมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิด “โรคหลอดเลือดสมอง” ได้ทั้งนั้น ไม่ใช่แค่ผู้สูงอายุเท่านั้น ดังนั้น เราจึงไม่ควรชะล่าใจ ต้องดูแลตัวเองและคนที่เรารักให้ห่างไกลจากภัยเงียบนี้ ด้วยการตรวจสุขภาพประจำปี คัดกรองความเสี่ยง รวมถึงมีสติและตระหนักอยู่เสมอว่า เมื่อพบอาการผิดปกติที่บ่งชี้ถึง “โรคหลอดเลือดสมอง” ต้องรีบไปพบแพทย์ฉุกเฉินโดยเร็วที่สุด เพราะยิ่งรักษาเร็ว ก็จะยิ่งมีโอกาสที่จะหายและกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขมากยิ่งขึ้น