วิทยาการการบำบัดโรคยุคใหม่

IV Therapy  หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า  “Vitamin Drip”  และ   “วิตามินบำบัด”  นั้น   หมายถึงการให้วิตามินหรือสารน้ำผ่านทางหลอดเลือดดำเข้าสู่ร่างกายซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะเดี๋ยวนี้คนส่วนใหญ่ต้องการความรวดเร็ว ปลอดภัย เห็นผลไว และใช้เวลาในกระบวนการทำไม่นาน การทำ IV Therapy เป็นการให้วิตามินที่ได้รับความนิยม IV Therapy แตกต่างการให้สารอาหาร วิตามิน หรือเกลือแร่ในรูปแบบอื่นๆ เช่น การรับประทาน การฉีดเข้ากล้ามเนื้อ การอมใต้ลิ้น รวมถึงการทาครีมเพื่อให้ดูดซึมผ่านทางผิวหนัง ในการทำ IV Therapy นี้จะสามารถนำวิตามินและเกลือแร่เข้าสู่หลอดเลือดและส่งผลในการบำรุงร่างกายได้ทันที โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อย การดูดซึม หรือถูกคัดกรองผ่านด่านใดๆ หลังจากนั้นจึงจะถูกขับออกทางปัสสาวะและอุจจาระโดยไม่มีการสะสมหรือตกค้างเป็นอันตรายอยู่ในร่างกาย ด้วยประโยชน์ดังกล่าวจึงมีการปรุงสูตรขึ้นหลายรูปแบบเพื่อให้เหมาะสมกับการดูแลสุขภาพของแต่ละบุคคล

ทั้งนี้ในการปรับสูตรสารน้ำเหล่านี้หากต้องการให้เกิดประโยชน์สูงสุดและไม่เกิดอันตรายในการบำบัด ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจทำทุกครั้ง โดยมีลำดับขั้นตอนดังนี้ เข้ารับการตรวจวัดความดันโลหิต ชีพจร อุณหภูมิกาย น้ำหนัก และ ส่วนสูง ซึ่งจำเป็นต่อการคำนวณปริมาณและความเข้มข้นของสารน้ำ รวมถึงอัตราเร็วในการให้สารน้ำเพื่อมิให้เกิดผลข้างเคียงอีกด้วย พบแพทย์เพื่อปรึกษาถึงปัญหาสุขภาพที่กังวล ประวัติการเจ็บป่วย ประวัติการแพ้ยา รวมถึงการให้ข้อมูลสุขภาพโดยรวม เพื่อที่แพทย์จะได้ให้คำแนะนำในการดูและเลือกสูตรสารน้ำที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เจาะเลือด เพื่อประเมินสภาวะของร่างกายว่าสามารถทำ IV Therapy ได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ รวมถึงช่วยในการปรับปริมาณความเข้มข้นของวิตามิน ความถี่และจำนวนครั้งในการบำบัดที่เหมาะสม เมื่ออ่านจนถึงบรรทัดนี้ หมอเชื่อว่าหลายๆ ท่านคงอยากที่จะเข้ารับการทำ IV Therapy ซะตอนนี้เลย แต่ในการบำบัดนี้ยังมีข้อควรระวังสำคัญอีกหลายประการที่ท่านควรทราบและต้องแจ้งแก่แพทย์ ที่ปรึกษาก่อนทำ ดังนี้

  • หญิงตั้งครรภ์ หรือ หญิงให้นมบุตร
  • ประวัติการแพ้ยา หรือ วิตามินใดๆ รวมถึงลักษณะอาการที่แพ้เป็นอย่างไร
  • โรคประจำตัว และยาที่รับประทานเป็นประจำ
  • ภาวะไตเสื่อมหรือไตวายเรื้อรัง
  • เป็นโรค G6PD
  • รับประทานยาต้านเกล็ดเลือด
  • รู้สึกไม่สบาย มีไข้สูง
  • มีผื่นหรือแผลบริเวณที่จะสอดเข็มเพื่อให้สารน้ำ เช่น ข้อพับแขน ข้อมือ หลังฝ่ามือ
  • กำลังอยู่ในช่วงอดอาหาร หรือ ควบคุมน้ำหนัก

กระบวนการต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะทำให้ท่านได้รับการบำบัดดูแลสุขภาพได้อย่างปลอดภัยอันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด อีกทั้งการทำ IV Therapy นี้ควรจะทำในสถานพยาบาลที่มีทีมแพทย์ พยาบาล และเครื่องมือพร้อมช่วยเหลือในยามฉุกเฉิน จึงจะทำให้ท่านผู้อ่านมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้อย่างปลอดภัยไร้กังวล

เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ ค.ศ.1931 โดยศาสตราจารย์ นพ.พอล นีฮาน (Dr.Paul Niehans) ศัลยแพทย์ชาวสวิส ได้ค้นพบว่า เซลล์ที่เหมือนกันจะเดินทางไปรักษา ไปซ่อมเซลล์ที่อยู่ในอวัยวะเดียวกัน เช่น เซลล์ของตับก็จะเดินทางไปรักษาตับ เซลล์ของหัวใจก็จะเดินทางไปรักษาหัวใจการค้นพบของ ศ.นพ. นีฮาน นับเป็นความบังเอิญ เนื่องจาก นพ.นีฮาน ขณะนั้นเป็นศัลยแพทย์เชี่ยวชาญด้านการปลูกถ่ายต่อมไร้ท่อมือหนึ่งของสวิส ได้รับการปรึกษาให้ปลูกถ่ายต่อมพาราไทรอยด์ ให้กับผู้ป่วยคนหนึ่ง ซึ่งถูกตัดต่อมนี้โดยอุบัติเหตุจากการผ่าตัดไทรอยด์ ทำให้ขาดฮอร์โมนพาราไทรอยด์ เมื่อ นพ. นีฮาน ไปถึงคนไข้อยู่ในภาวะชักกระตุกรุนแรง ไม่สามารถทำการผ่าตัดได้ นพ.นีฮานจึงตัดสินใจบดต่อมพาราไทรอยด์จากสัตว์ที่เตรียมมา จนแตกละเอียดในน้ำเกลือ แล้วนำน้ำที่ได้จากการบดนั้น ฉีดเข้ากล้ามให้ผู้ป่วย ปรากฏว่าผู้ป่วยหายจากอาการชักเกร็ง จนต่อมาอีก 25 ปีก็ไม่มีอาการใดๆ การรักษาวิธีนี้ในช่วงแรกๆ จะใช้ในกลุ่มบุคคลชั้นสูง เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูง ผู้รักษาต้องพักอยู่ในซานาโตเรียมที่สวิสเซอร์แลนด์ 1 สัปดาห์ Live Cell Therapy มีชื่อเสียงมากเมื่อคราวที่พระสันตะปาปา Pius ที่ 12 ประชวรหนัก รับประทานอาหารไม่ได้ นอนไม่หลับ อ่อนเพลียมาก แพทย์หลวงหมดทางรักษา และลงความเห็นว่าท่านจะมีพระชนม์ชีพอยู่ต่อไปอีกไม่นาน จึงเชิญนายแพทย์นีฮานไปรักษา นพ.นีฮาน ตัดสินใจรับรักษาพระสันตะปาปาที่กรุงโรม ด้วยวิธี Live Cell Therapy ประมาณ 1 เดือน พระสันตะปาปา Pius ที่ 12 ก็กลับฟื้นขึ้นมาและมีสุขภาพแข็งแรงได้ราวปาฏิหาริย์ ต่อมา ท่านพระสันตะปาปาได้แต่งตั้ง นพ. นี.ฮาน ในฐานะ Papal Academy of Science เพื่อเป็นเกียรติและระลึกถึงความดีงาม ที่ นพ.นีฮานได้ทุ่มเทถวายการรักษาพระองค์ หลังจากนั้น การใช้เซลล์บำบัดเริ่มได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายทั่วโลก มีผู้คนจากหลายประเทศให้ความสนใจ และต่างเดินทางไปรับการรักษาด้วยเซลล์บำบัดเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จากกลุ่มประเทศในยุโรป จนถึงเอเชีย และรวมทั้งในประเทศไทยเราเอง ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ใช้เซลล์บำบัดในการดูแลสุขภาพเช่นกัน

http://www.celltherapythai.or.th/cell_therapy.php

Nicotinamide adenine dinucleotide (NAD+)  คือนวัตกรรมล่าสุดของการชะลอวัย ชะลอการเสื่อมของสมอง และการเสื่อมของเซลล์เกือบทุกชนิด NAD+ คือโคเอนไซม์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ พบได้ในเซลล์ทั่วไป ทำหน้าที่ส่งเสริมการงอกใหม่ของเซลล์ และการแปลงพลังงานของเซลล์ เป็นสารประกอบสำคัญสำหรับร่างกายมนุษย์ ช่วยซ่อมแซม DNA ซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ รวมถึงระบบเมตาบอลิซึม (การเผาผลาญ) ของเซลล์ให้ดีขึ้น และการเพิ่มระดับ NAD+ ในร่างกาย ยังช่วยชะลอกระบวนการความชรา และลดความเสี่ยงการเกิดโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอายุได้อีกด้วย

กลไกการทำงานของ NAD+ ด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย

  1. มีส่วนช่วยเพิ่มความยาวของเทโลเมียร์
  2. กระตุ้นการซ่อมแซม DNA
  3. เพิ่มการผลิตพลังงานให้กับเซลล์
  4. กระตุ้นให้โครโมโซมแข็งแรง
  5. ช่วยเพิ่มระดับสารสื่อประสาท
  6. เปิดการทำงานของโปรตีน Sirtuins (ยีนควบคุมการแก่ตัวของเซลล์)
  7. เพิ่มการส่งสัญญาณต่อเซลล์ภูมิคุ้มกัน

ขอบคุณข้อมูล :www.doctortonyclinic.com/service/nad-therapy/